เมื่อร่างกายคิดว่ายังคือวันจันทร์ แต่โลกบอกว่าวันพฤหัสแล้ว 😵
หลังจากที่เราได้เข้าใจเรื่อง นาฬิกาชีวิต หรือ Circadian Rhythm กันไปแล้วว่ามันทำงานอย่างไร และสำคัญแค่ไหนต่อชีวิตประจำวัน วันนี้มาดูกันว่าอะไรคือสิ่งที่มาทำลายจังหวะการทำงานของนาฬิกาชีวิตที่เราดูแลมาอย่างดี
และตัวร้ายคนแรกที่เราจะมาทำความรู้จักกัน คือ “Jet Lag” – ปรากฏการณ์ที่ใครๆ ที่เคยบินข้ามทวีปก็รู้จักดี แถมยังจำได้แม่นยำว่าครั้งแรกที่เจอมันเป็นยังไง
“บิน 6 ชั่วโมง แต่ทำไมเหนื่อยเหมือนไม่ได้นอน 3 วัน?”
เสียงคุ้นๆ ไหม? เวลาที่เพื่อนถามว่า “เป็นไงบ้างทริปญี่ปุ่น ดีไหม?” แล้วคุณตอบด้วยใบหน้าซีดเซียว “ดีครับ… แต่ว่าผมยังคิดว่าตอนนี้เป็น 2 ทุ่มอยู่เลย ทั้งๆ ที่นาฬิกามือถือบอก 9 โมงเช้า”
หรือเวลาที่นั่งประชุมแรกหลังกลับจากต่างประเทศ แล้วต้องหยิกตัวเองทุก 5 นาทีเพื่อไม่ให้หลับในห้องประชุม ถึงขนาดที่เพื่อนร่วมงานถามว่า “ไปเที่ยวมาสนุกเกินไปหรือเปล่า?” ทั้งที่ความจริงคือไปทำงานมา
เข้าใจ Time Zone แบบง่ายๆ ด้วย “ทฤษฎีแตงโม”
ลองจินตนาการว่าโลกของเราเหมือนแตงโมลูกยักษ์ ที่มีแกนหมุน (ขั้วเหนือ-ขั้วใต้) และเส้นศูนย์สูตรเป็นเข็มขัดคาดกลางลูก ถ้าเราเอามีดผลไม้มาหั่นแตงโมลูกนี้เป็น 24 ชิ้น ตั้งแต่ขั้วบนลงมาขั้วล่าง แต่ละชิ้นนี้แหละคือ “Time Zone” หรือเขตเวลา
แต่ละชิ้น = 1 ชั่วโมง
24 ชิ้น = 24 ชั่วโมง = 1 วันเต็ม
ปกติเราอยู่ในชิ้นเดียวกันเป็นประจำ นาฬิกาชีวิตของเราก็เลยท่องจำไว้แม่นยำแล้วว่า “อ่อ เวลานี้แสงแดดควรจะส่องแรงแค่นี้” หรือ “เฮ้ย ตอนนี้ควรจะมืดแล้วนะ เตรียมตัวนอนได้แล้ว”
แล้วพอเราโดดข้าม 3-4 ชิ้นแตงโมไป…
BAM! 💥 นาฬิกาชีวิตเริ่มงง งุนงง
ร่างกายเรายังคิดว่าอยู่ในชิ้นแตงโมเดิม แต่แสงแดดและความมืดบอกว่า “เฮ้ยพี่ เราย้ายที่อยู่แล้วนะ!”
นี่แหละคือสาเหตุที่ทำให้เวลาไปโตเกียว (เร็วกว่าเรา 2 ชั่วโมง) แล้วตื่นเช้ามาร่างกายคิดว่า “เฮ้ย ยังดึกอยู่เลย ทำไมฟ้าสว่างแล้วหว่า?” หรือไปลอนดอน (ช้ากว่าเรา 6-7 ชั่วโมง) แล้วกลางคืนไม่ง่วงเลย เพราะร่างกายยังคิดว่าแค่บ่ายโมงเอง
“ทำไมไปทางตะวันออกแย่กว่าทางตะวันตก?”
คำตอบง่ายๆ คือ การบังคับให้นอนเร็วขึ้น ยากกว่าการอดทนให้นอนช้าลง เยอะ
คิดดูสิ ถ้าปกติคุณนอน 5 ทุ่ม แล้ววันนี้บอกให้นอน 11 โมงเช้า “อ่า ไม่เป็นไรครับ ดูซีรีส์ต่อได้” แต่ถ้าบอกให้นอน 2 ทุ่ม “เฮ้ย ง่วงยังไงครับ ดวงตายังแบ๋วเลย”
เลยทำให้การบินไปทางตะวันออก (ญี่ปุ่น เกาหลี จีน) มักจะมีอาการ Jet Lag หนักกว่าการบินไปทางตะวันตก (อเมริกา ยุโรป)
อาการหลักที่เจอบ่อย:
- ง่วงมากตอนกลางวัน (เหมือนแวมไพร์โดนแสงแดด)
- ตื่นตาไปตอนกลางคืน (กลายร่างเป็นนกฮูก)
- สมองหมอกๆ เหมือนเครื่องคอมช้า
- อารมณ์แปรปรวน เหมือนมีประจำเดือน
อาการพิเศษที่บางคนเจอ:
- คลื่นไส้ เหมือนเมาเรือ (แต่ไม่ได้อยู่บนเรือ)
- ปวดหัว แบบที่กิน พาราเซตามอล แล้วไม่หาย
- ลำไส้แปรปรวน
เพราะ Circadian Rhythm ไม่ได้ควบคุมแค่การนอนอย่างเดียวนะครับ แต่ควบคุมทุกระบบในร่างกาย – ตั้งแต่การย่อย การขับถ่าย ไปจนถึงการทำงานของฮอร์โมน
ปัจจัยเพิ่มเติมที่ทำให้ Jet Lag แย่ขึ้น
- “ขาดน้ำระดับภัยแล้ง”
บนเครื่องบินอากาศแห้งมาก ร่างกายขาดน้ำจึงเครียดมากขึ้น ดื่มน้ำเยอะๆ นะครับ ไม่ใช่ไวน์หรือเบียร์ที่จ่ายฟรี (ใจอยากได้ แต่ห้ามนะ จะยิ่งทำให้รวนไปใหญ่)
- “นั่งบนเครื่องบินนาน = ทรมานนาน”
ยิ่งนั่งนาน ยิ่งเครียด ยิ่ง Jet Lag หนัก เลยเป็นเหตุผลว่าทำไมบินตรงบางทีถึงจะเหนื่อยกว่าบินต่อเครื่อง
- “ความดันอากาศที่เปลี่ยนแปลง”
ทำให้ร่างกายเครียดเพิ่มขึ้น เหมือนการที่คุณต้องปรับตัวอยู่ตลอดเวลา
จะรอดจาก Jet Lag ได้อย่างไร?
Before Flight: เตรียมพร้อมก่อนบิน
🕐 เริ่มปรับเวลาล่วงหน้า
ถ้าจะไปญี่ปุ่น (เร็วกว่า 2 ชม.) ลองนอนเร็วขึ้น 30 นาที-1 ชั่วโมง เป็นเวลา 3-4 วันก่อนเดินทาง
😴 นอนให้เต็มอิ่มก่อนบิน
อย่าไปแบบ “เมื่อคืนแพ็คกระเป๋าจนตี 3” แล้วบินตี 6 นี่มาแน่ Jet Lag ระดับโคม่า
During Flight: บนเครื่องบิน
💤 พยายามนอนให้ได้
ซื้อหมอนคอ ที่ปิดหู ผ้าปิดตา เลย ถือเป็นการลงทุนระยะยาว
💧 ดื่มน้ำเยอะๆ
เน้นย้ำ น้ำเปล่า นะครับ ไม่ใช่เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่สจ๊วตแจกฟรี
After Landing: พอถึงปลายทาง
☀️ ออกแดดให้เยอะ
เป็นวิธีที่ได้ผลที่สุดในการ “รีเซ็ต” นาฬิกาชีวิต ไปเดินช้อปปิ้งกลางแจ้ง นั่งกินกาแฟริมทางเดิน หรือเดินเล่นในสวน
🛌 ฝืนตัวเองให้นอนตามเวลาท้องถิ่น
ง่วงแค่ไหนก็อดทน! ถ้าถึงโตเกียวเวลา 8 โมงเช้า แล้วง่วงมาก อย่าไปนอน รอให้ถึงเย็นๆ ค่อยนอน ไม่งั้นจะติดลูปนอนกลางวัน ตื่นกลางคืน
🏃♂️ ใช้ชีวิตกลางแจ้งให้เยอะ
ยิ่งได้รับแสงธรรมชาติเยอะ นาฬิกาชีวิตยิ่งปรับตัวได้เร็ว
หากอาการหนักมาก อาจต้องใช้ยา
- ยานอนหลับ (ต้องมีใบสั่งแพทย์)
ช่วยบังคับให้นอนได้ตามเวลาที่ต้องการ แต่ต้องใช้ตามคำแนะนำแพทย์เท่านั้น
- Melatonin (ฮอร์โมนธรรมชาติ)
เป็นสารที่ร่างกายผลิตเองตามธรรมชาติ ช่วยในการปรับ Circadian Rhythm สามารถหาซื้อได้ที่ร้านขายยาทั่วไป (ในรายละเอียดของ Melatonin จะมาเล่าในตอนถัดไป เพราะน่าสนใจมาก!)
ไม่ต้องทนทุกข์กับ Jet Lag อีกต่อไป!
Jet Lag เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน ไม่ใช่ว่าคุณร่างกายอ่อนแอ หรือไม่เก่งเดินทาง แค่เป็นการที่นาฬิกาชีวิตของเราต้องการเวลาในการปรับตัว
โดยปกติอาการจะดีขึ้นเองภายใน 2-3 วัน หลังจากมาถึงปลายทาง แต่ถ้าเตรียมตัวดีๆ และทำตามคำแนะนำข้างต้น การเดินทางครั้งต่อไปจะสนุกมากขึ้น แทนที่จะต้องมาเสียเวลาดีๆ ของวันหยุดไปกับการนอนไม่หลับ หรือง่วงงุนงงตอนกลางวัน
พร้อมพิชิต Time Zone ไหนก็มาเถอะ! ✈️🌍